ตรวจสุขภาพตา สำคัญแค่ไหน? ใครควรตรวจ และควรตรวจเมื่อไร

|
|
ตรวจสุขภาพตา สำคัญแค่ไหน? ใครควรตรวจ และควรตรวจเมื่อไร
สายตายาว

หลายคนอาจคิดว่าการตรวจสุขภาพตาจำเป็นเฉพาะเวลามีอาการผิดปกติ เช่น มองไม่ชัด ตามัว หรือปวดตา แต่ในความเป็นจริงแล้ว การตรวจสุขภาพตาเป็นการป้องกันโรคตาที่เงียบและอาจทำลายการมองเห็นโดยไม่รู้ตัว เช่น ต้อหินที่ระยะแรกมักไม่แสดงอาการ หรือภาวะแทรกซ้อนจากเบาหวานที่ทำลายจอประสาทตาโดยไม่มีสัญญาณเตือน

ตรวจสุขภาพตา สำคัญไหม?

การตรวจตาอย่างสม่ำเสมอช่วยให้

  • ค้นพบโรคตาได้ตั้งแต่ระยะเริ่มต้น
  • ลดความเสี่ยงสูญเสียการมองเห็นถาวร
  • ประเมินสุขภาพดวงตาตามช่วงอายุ
  • ปรับแก้สายตาให้เหมาะสม
  • การตรวจสุขภาพตาคืออะไร

    การตรวจสุขภาพตา (Comprehensive Eye Exam) คือการประเมินดวงตาและการมองเห็นอย่างครบถ้วน โดยจักษุแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านสายตา ซึ่งต่างจากการตรวจวัดสายตาเพื่อทำแว่นที่เน้นเฉพาะค่าสายตาสั้น ยาว หรือเอียง

    ขั้นตอนทั่วไปประกอบด้วย

      1. ตรวจวัดค่าสายตา (Visual acuity test) – เช็กการมองเห็นไกล-ใกล้

      2. ตรวจความดันลูกตา (Tonometry) – คัดกรองต้อหิน

      3. ตรวจตาด้วยเครื่อง slit-lamp – ดูกระจกตา เลนส์ตา และโครงสร้างภายใน

      4. ขยายม่านตา (Dilated eye exam) – ตรวจจอประสาทตา หลอดเลือด และประสาทตา

      5. ตรวจการทำงานของกล้ามเนื้อตา – เช็กภาวะตาเข หรือตาเหล่

      6. ตรวจการรับภาพของจอประสาทตา (Visual field test) – ประเมินลานสายตา

    การตรวจเหล่านี้ช่วยวินิจฉัยโรคตาที่ไม่แสดงอาการในระยะแรก และยังบอกได้ถึงโรคระบบอื่น เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ที่มีผลต่อดวงตา

    ใครควรตรวจสุขภาพตาบ้าง

    ใครควรตรวจสุขภาพตาบ้าง

    จริง ๆ แล้ว ทุกคนควรตรวจสุขภาพตา แต่มีบางกลุ่มที่ต้องให้ความสำคัญเศษ ได้แก่

  • เด็กและวัยเรียน: ควรตรวจเพื่อค้นหาภาวะสายตาผิดปกติ เช่น สายตาสั้น หรือสายตาเอียง ป้องกันการเรียนรู้ล่าช้า

  • วัยทำงาน: ตรวจหาภาวะตาล้า ตาแห้ง จากการใช้คอมพิวเตอร์และมือถือ

  • ผู้สูงอายุ 40 ปีขึ้นไป: เสี่ยงต้อหิน ต้อกระจก สายตายาวตามวัย

  • ผู้ป่วยโรคประจำตัว: เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง เพราะโรคเหล่านี้มีผลต่อหลอดเลือดและจอประสาทตา

  • ผู้มีประวัติครอบครัวโรคตา: เช่น ต้อหินหรือโรคจอประสาทตาเสื่อม

  • ผู้ที่เคยผ่าตัดตา: ควรตรวจติดตามเพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อน

    ตรวจสุขภาพตาควรบ่อยแค่ไหน

    การตรวจขึ้นอยู่กับอายุและความเสี่ยง ดังนี้

  • เด็กแรกเกิด – 3 ปี: ตรวจพัฒนาการการมองเห็นและโครงสร้างตา

  • อายุ 4 – 18 ปี: ตรวจทุก 1–2 ปี

  • อายุ 18 – 40 ปี: ควรตรวจอย่างน้อยทุก 2 ปี

  • อายุ 40 – 60 ปี: ควรตรวจทุก 1–2 ปี

  • อายุเกิน 60 ปี: ควรตรวจทุกปี

  • ผู้ป่วยเบาหวาน: ตรวจทุกปี แม้ไม่มีอาการ

  • ผู้มีความเสี่ยงต้อหิน: ควรตรวจตามที่แพทย์แนะนำ

    โรคที่ตรวจสุขภาพตาช่วยค้นหาได้

    การตรวจตาไม่ได้บอกแค่ค่าสายตา แต่ช่วยวินิจฉัยโรคที่อันตราย เช่น

  • ต้อหิน (Glaucoma): ทำลายเส้นประสาทตาอย่างเงียบ ๆ

  • ต้อกระจก (Cataract): เลนส์ตามัว การมองเห็นพร่าลง

  • เบาหวานขึ้นตา (Diabetic retinopathy): ภาวะแทรกซ้อนจากเบาหวาน

  • จอประสาทตาเสื่อมตามอายุ (AMD): ทำให้สูญเสียการมองเห็นตรงกลาง

  • โรคจากความดันโลหิตสูง: ทำให้เส้นเลือดในจอประสาทตาเปลี่ยนแปลง

  • ภาวะตาแห้งหรือตาล้าเรื้อรัง

  • สัญญาณที่บอกว่าควรตรวจสุขภาพตาทันที

    สัญญาณที่บอกว่าควรตรวจสุขภาพตาทันที

    แม้ไม่มีอาการก็ควรตรวจตามกำหนด แต่ถ้ามี

  • อาการเหล่านี้ ควรพบจักษุแพทย์ทันที

    มองเห็นภาพเบลอหรือซ้อน
  • เห็นแสงแฟลชหรือจุดดำลอยไปมา (อ่านเพิ่มเติม : ตาเห็นแสงกระจาย)
  • ปวดตา ตาแดง บวม
  • มองเห็นแคบลง
  • ตามัวเฉียบพลัน
  • ปวดศีรษะร่วมกับมองเห็นผิดปกติ
  • ข้อดีของการตรวจสุขภาพตาเป็นประจำ

    เพื่อให้เข้าใจง่าย มาดูข้อดีหลัก ๆ ของการตรวจสุขภาพตาเป็นประจำกัน

  • ป้องกันโรคตาที่อันตราย แต่ไม่มีอาการช่วงแรก

  • รักษาได้ทันท่วงที ลดโอกาสสูญเสียการมองเห็นถาวร

  • ปรับสายตาให้เหมาะสม เพิ่มคุณภาพชีวิตและการทำงาน

  • ช่วยบอกสุขภาพร่างกายโดยรวม เช่น โรคเบาหวาน ความดัน

  • สร้างความมั่นใจในการใช้สายตาทุกวัน

    ดังนั้น การตรวจตาไม่ใช่เรื่องไกลตัว แต่เป็นการลงทุนเพื่อคุณภาพชีวิตในระยะยาวค่ะ

    ค่าใช้จ่ายและสิทธิการตรวจสุขภาพตา

  • โรงพยาบาลรัฐ: ใช้สิทธิประกันสังคม บัตรทอง หรือสวัสดิการข้าราชการ ตรวจสุขภาพตาได้ตามเงื่อนไขที่กำหนด

  • โรงพยาบาลเอกชน/คลินิกตา: ค่าตรวจเริ่มต้นประมาณ 1,000 – 3,000 บาท ขึ้นกับรายการตรวจ

  • แพ็กเกจตรวจสุขภาพตา: หลายโรงพยาบาลมีโปรแกรมตรวจสุขภาพตาเฉพาะ เช่น ตรวจต้อหิน ตรวจจอประสาทตา

    สรุป

    การตรวจสุขภาพตาเป็นเรื่องจำเป็นสำหรับทุกคน ไม่ใช่แค่ผู้ที่มีปัญหาสายตา เพราะหลายโรคตาอันตรายเกิดขึ้นแบบเงียบ ๆ หากตรวจพบเร็วก็รักษาได้ผลดีกว่า การตรวจอย่างสม่ำเสมอช่วยป้องกันการสูญเสียการมองเห็นถาวร และยังสะท้อนสุขภาพโดยรวมของร่างกายอีกด้วยค่ะ

    หากคุณยังไม่เคยตรวจสุขภาพตา แนะนำให้เริ่มต้นที่โรงพยาบาลหรือคลินิกที่มีแพทย์เฉพาะทางด้านจักษุ และอย่าลืมใช้สิทธิการรักษาที่คุณมี เพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายและได้การดูแลที่ครอบคลุมค่ะ

        ดวงตาของคุณมีเพียงคู่เดียว ควรเลือกวิธีแก้ไขที่เหมาะสมและปลอดภัยที่สุด

      Prodpran LASIK โดยหมอปู โดยหมอปู คือหนึ่งในตัวเลือกที่คุณควรนัดตรวจอย่างยิ่ง เราพร้อมดูแลดวงตาของคุณ พร้อมเทคโนโลยีวิเคราะห์การมองเห็นอย่างละเอียด

      นัดตรวจดวงตากับจักษุแพทย์เฉพาะทาง พร้อมคำแนะนำเฉพาะบุคคล

  • คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับตรวจสุขภาพตา

    Q1 : ควรตรวจสุขภาพตาครั้งแรกเมื่อไร?

    เด็กเล็กควรตรวจตั้งแต่แรกเกิดเพื่อประเมินพัฒนาการดวงตา ส่วนผู้ใหญ่ควรเริ่มตรวจอย่างจริงจังตั้งแต่อายุ 18 ปีขึ้นไป

    Q2 : ตรวจสุขภาพตากับวัดสายตาทำแว่นต่างกันอย่างไร?

    การวัดสายตาเพื่อทำแว่นเช็กเฉพาะค่าสายตา แต่การตรวจสุขภาพตาประเมินทั้งโครงสร้างดวงตา ความดันตา และโรคตาแฝง

    Q3 : ใช้สิทธิบัตรทองตรวจสุขภาพตาได้หรือไม่?

    ได้ โดยสามารถตรวจพื้นฐานและโรคตาที่เข้าข่ายสิทธิ แต่ควรสอบถามโรงพยาบาลประจำสิทธิของตนก่อน

    Q4 : ถ้าไม่มีอาการผิดปกติยังต้องตรวจหรือไม่?

    ควรตรวจค่ะ เพราะหลายโรคตา เช่น ต้อหินหรือเบาหวานขึ้นตา มักไม่มีอาการในระยะเริ่มต้น

    Q5 : ตรวจสุขภาพตาใช้เวลานานไหม?

    โดยทั่วไปใช้เวลา 30 นาที – 1 ชั่วโมง ขึ้นกับจำนวนการตรวจและการขยายม่านตา

    Q6 : ค่าใช้จ่ายตรวจสุขภาพตาประมาณเท่าไร?

    ขึ้นกับโรงพยาบาลและรายการตรวจ โดยทั่วไปเริ่มต้นที่ 1,000 – 3,000 บาท

    Q7 : การขยายม่านตา ตอนตรวจตาอันตรายไหม?

    ไม่อันตราย แต่จะมีอาการตามัวชั่วคราวและแพ้แสง 4–6 ชั่วโมง ควรมีแว่นกันแดดและคนช่วยขับรถ

    Q8 : คนสายตาสั้นหรือใส่คอนแทคเลนส์ต้องตรวจสุขภาพตาบ่อยกว่าคนทั่วไปไหม?

    ใช่ ควรตรวจอย่างน้อยปีละครั้ง เพื่อติดตามภาวะสายตาและป้องกันโรคตาที่เกี่ยวข้องกับการใส่คอนแทคเลนส์

    แชร์บทความ