เล่นโทรศัพท์มากตามัว วิธีแก้ที่ได้ผล ป้องกันสายตาในยุคดิจิทัล

|
|
เล่นโทรศัพท์มากตามัว วิธีแก้ที่ได้ผล ป้องกันสายตาในยุคดิจิทัล
สายตายาว

ในยุคที่โทรศัพท์มือถือกลายเป็นอวัยวะที่ 33 ของร่างกาย หลายคนใช้เวลาอยู่กับหน้าจอวันละหลายชั่วโมง ไม่ว่าจะทำงาน แชท ดูหนัง หรือเล่นโซเชียล แต่ผลที่ตามมาคืออาการ “ตามัวจากการใช้มือถือมากเกินไป” ซึ่งเป็นสัญญาณของภาวะตาล้า (Eye Strain) และหากปล่อยทิ้งไว้นาน อาจกระทบต่อสุขภาพตาในระยะยาว บทความนี้จะพาคุณมาทำความเข้าใจว่า ทำไมเล่นโทรศัพท์มากแล้วตามัว และมี วิธีแก้ตามหลักการแพทย์ ที่ช่วยป้องกันและบรรเทาอาการได้จริง

ทำไมเล่นโทรศัพท์มากถึงทำให้ตามัว

การมองหน้าจอโทรศัพท์นาน ๆ ทำให้ดวงตาต้องเพ่งต่อเนื่อง และมีปัจจัยหลายอย่างที่ทำให้เกิดอาการตามัว ได้แก่

  • แสงสีฟ้า (Blue Light): จากหน้าจอทำให้เกิดความล้าของสายตา และรบกวนการทำงานของจอประสาทตา

  • การกะพริบตาน้อยลง: โดยปกติเรากะพริบตา 15–20 ครั้ง/นาที แต่เมื่อใช้มือถือจะเหลือเพียง 5–7 ครั้ง ทำให้ตาแห้ง
  • ระยะห่างไม่เหมาะสม: การถือโทรศัพท์ใกล้เกินไปบังคับให้ตาทำงานหนัก
  • การใช้ต่อเนื่องโดยไม่พัก: ดวงตาไม่มีเวลาคลายความเกร็งของกล้ามเนื้อตา
  • สรุปได้ว่า เมื่อใช้สายตากับมือถือมากเกินไป อาจเกิดทั้ง ตามัวชั่วคราว ตาพร่า แสบตา ปวดหัว และในบางรายอาจนำไปสู่ภาวะตาแห้งเรื้อรังหรือสายตาสั้นเพิ่มขึ้น

    อาการที่บ่งบอกว่าตาคุณล้าจากมือถือ

    อาการที่บ่งบอกว่าตาคุณล้าจากมือถือ

    หากคุณใช้มือถือเป็นเวลานานและเริ่มมีอาการเหล่านี้ ควรเริ่มหาวิธีแก้ไขทันที

  • ตามัว มองไม่ชัดเป็นพัก ๆ
  • ปวดตา แสบตา หรือมีอาการเคืองตา
  • ปวดหัวหรือปวดขมับ
  • ตาแห้ง แสบตา น้ำตาไหล (อ่านเพิ่มเติม : วิธีหยอดตาที่ถูกต้อง )
  • คอ บ่า ไหล่ ตึงจากการก้มจ้องนาน ๆ
  • อาการเหล่านี้แม้จะไม่อันตรายทันที แต่เป็นสัญญาณเตือนว่าดวงตาของคุณกำลังทำงานหนักเกินไป

    เล่นโทรศัพท์มากตามัว วิธีแก้ที่ทำได้เอง

    แม้การใช้มือถือเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงได้ยาก แต่คุณสามารถป้องกันและบรรเทาอาการตาล้าได้ด้วยวิธีเหล่านี้

    1. ใช้กฎ 20-20-20

    ทุก ๆ 20 นาทีที่ใช้มือถือ ควรมองไปที่วัตถุห่างออกไป 20 ฟุต (ประมาณ 6 เมตร) เป็นเวลา 20 วินาที เพื่อคลายความเกร็งของกล้ามเนื้อตา

    2. กะพริบตาบ่อยขึ้น

    ฝึกให้ตัวเองกะพริบตาบ่อย ๆ โดยเฉพาะเมื่อใช้มือถือหรือคอมพิวเตอร์ เพื่อลดอาการตาแห้ง

    3. ปรับแสงหน้าจอให้เหมาะสม

  • ไม่ควรใช้หน้าจอสว่างเกินไปหรือต่ำเกินไป
  • ปิดไฟหรือลดการใช้มือถือในที่มืดจัด เพราะจะทำให้ตาต้องเพ่งมากขึ้น
  • 4. รักษาระยะห่าง

    ควรถือมือถือห่างจากตาประมาณ 30–40 ซม. และปรับระดับให้พอดีกับสายตา เพื่อลดการก้มคอและการเพ่ง

    5. ใช้น้ำตาเทียม

    หากมีอาการตาแห้ง สามารถใช้น้ำตาเทียมที่ปลอดสารกันเสียเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้ดวงตา

    6. พักสายตาด้วยการหลับตา

    ปิดตาสัก 1–2 นาทีเมื่อรู้สึกตามัวหรือแสบตา จะช่วยให้ดวงตาได้ฟื้นตัวชั่วคราว

    7. จัดท่านั่งให้เหมาะสม

    นั่งหลังตรง ไม่ก้มหน้าเกินไป ลดการปวดตาร่วมกับปวดคอและบ่า

    สรุปได้ว่า วิธีแก้ตาล้าจากมือถือไม่ใช่เรื่องยาก เพียงปรับพฤติกรรมเล็กน้อยก็ช่วยได้มาก

    เมื่อไหร่ควรพบจักษุแพทย์

    เมื่อไหร่ควรพบจักษุแพทย์

    หากคุณปรับพฤติกรรมแล้วอาการยังไม่ดีขึ้น หรือมีอาการรุนแรง ควรพบแพทย์ทันที โดยเฉพาะในกรณี

  • ตามัวต่อเนื่อง มองไม่ชัดแม้พักสายตา
  • เห็นภาพซ้อนหรือมีจุดดำลอยไปมา
  • ปวดตารุนแรงหรือมีอาการปวดหัวร่วม
  • มีประวัติโรคตา เช่น ต้อหิน ต้อกระจก
  • การตรวจสุขภาพตากับจักษุแพทย์ปีละครั้งเป็นสิ่งที่ควรทำ เพื่อป้องกันโรคตาในระยะยาว

    ป้องกันตาล้าจากมือถืออย่างยั่งยืน

    การดูแลสายตาไม่ใช่เพียงการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า แต่คือการสร้างสุขภาพตาที่ดีในระยะยาว ดังนี้

  • จำกัดเวลาใช้มือถือ โดยเฉพาะก่อนนอน
  • รับประทานอาหารที่มีวิตามินเอ ลูทีน และโอเมก้า 3
  • ใส่แว่นกรองแสงหากใช้มือถือหรือคอมพิวเตอร์บ่อย
  • เข้ารับการตรวจสุขภาพตาอย่างสม่ำเสมอ
  • สรุป

    เล่นโทรศัพท์มากตามัว วิธีแก้ ไม่ได้ซับซ้อน แต่สำคัญที่การปรับพฤติกรรม เช่น การพักสายตา กะพริบตา ใช้กฎ 20-20-20 และจัดสภาพแวดล้อมให้เหมาะสม หากอาการไม่ดีขึ้น ควรรีบปรึกษาจักษุแพทย์เพื่อหาสาเหตุและรับการรักษาที่เหมาะสม

      ดวงตาของคุณมีเพียงคู่เดียว ควรเลือกวิธีแก้ไขที่เหมาะสมและปลอดภัยที่สุด

      Prodpran LASIK โดยหมอปู คือหนึ่งในตัวเลือกที่คุณควรนัดตรวจอย่างยิ่ง เราพร้อมดูแล ดวงตาของคุณ พร้อมเทคโนโลยีวิเคราะห์การมองเห็นอย่างละเอียด

      นัดตรวจดวงตากับจักษุแพทย์เฉพาะทาง พร้อมคำแนะนำเฉพาะบุคคล

    คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ เล่นโทรศัพท์มากตามัว วิธีแก้”

    Q1 : เล่นโทรศัพท์มากแล้วตามัวเป็นอันตรายไหม?

    หากเป็นอาการชั่วคราวมักเกิดจากตาล้า แต่ถ้าเป็นต่อเนื่องหรือรุนแรงอาจบ่งบอกถึงโรคตา ควรพบจักษุแพทย์

    Q2 : กฎ 20-20-20 ช่วยได้จริงหรือไม่?

    ช่วยได้จริง เพราะเป็นการพักสายตาและคลายกล้ามเนื้อตา ลดโอกาสตาล้าและตามัว

    Q3 : การใช้ฟิล์มกรองแสงช่วยป้องกันตามัวได้ไหม?

    ช่วยลดแสงสะท้อนและแสงสีฟ้าได้ระดับหนึ่ง แต่ยังควรพักสายตาและปรับพฤติกรรมร่วมด้วย

    Q4 : น้ำตาเทียมจำเป็นต้องใช้ทุกคนไหม?

    ไม่จำเป็นสำหรับทุกคน แต่เหมาะกับผู้ที่มีอาการตาแห้งจากการใช้มือถือหรือคอมพิวเตอร์นาน ๆ

    Q5 : ถ้าใช้มือถือก่อนนอนจะมีผลต่อสายตาหรือไม่?

    มีผล เพราะแสงสีฟ้ารบกวนการนอนหลับ และการใช้ในที่มืดทำให้สายตาเพ่งมากขึ้นจนเกิดตาล้า

    Q6 : เล่นโทรศัพท์นาน ๆ ทำให้สายตาสั้นจริงหรือเปล่า?

    มีโอกาสทำให้สายตาสั้นเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในเด็กและวัยรุ่นที่สายตายังเปลี่ยนแปลงได้ง่าย

    Q7 : ทำไมเล่นโทรศัพท์แล้วถึงรู้สึกแสบตาและตาแห้ง?

    เพราะการจ้องหน้าจอนาน ๆ ทำให้กะพริบตาลดลง น้ำตาที่เคลือบผิวตาจึงระเหยเร็วขึ้น ส่งผลให้ตาแห้งและแสบตา

    Q8 : ควรใช้เวลาหน้าจอวันละกี่ชั่วโมงจึงจะปลอดภัยต่อสายตา?

    แนะนำไม่เกิน 2 ชั่วโมงต่อครั้ง และควรพักสายตาเป็นระยะ หากรวมทั้งวันไม่ควรเกิน 6–8 ชั่วโมงต่อเนื่อง

    Q9 : การเปิดโหมดถนอมสายตา (Eye Care Mode) บนมือถือช่วยได้จริงไหม?

    ช่วยลดปริมาณแสงสีฟ้าและทำให้ตาเพ่งน้อยลง เหมาะสำหรับการใช้งานในที่มืดหรือใช้ต่อเนื่องนาน ๆ แต่ไม่ทดแทนการพักสายตา

    Q10 : ดื่มน้ำมากขึ้นช่วยลดอาการตาล้าได้หรือไม่?

    มีส่วนช่วย เพราะความชุ่มชื้นของร่างกายสัมพันธ์กับน้ำตาที่หล่อเลี้ยงดวงตา หากดื่มน้ำน้อยเกินไปอาจทำให้ตาแห้งง่ายขึ้น

    Q11 : การบริหารดวงตาสามารถช่วยลดตามัวจากมือถือได้หรือเปล่า?

    ได้ เช่น การกลอกตาเป็นวงกลม การมองใกล้สลับไกล จะช่วยกระตุ้นกล้ามเนื้อตาและเพิ่มการไหลเวียนเลือด

    Q12 : ถ้าใส่คอนแทคเลนส์แล้วเล่นมือถือบ่อย จะเสี่ยงตามัวมากกว่าคนทั่วไปหรือไม่?

    ใช่ ผู้ที่ใส่คอนแทคเลนส์มีความเสี่ยงตาแห้งและตามัวมากกว่า เพราะเลนส์อาจกีดขวางการกระจายของน้ำตา

    Q13 : การนอนพักผ่อนเพียงพอมีผลต่อการมองเห็นหรือไม่?

    มีผลโดยตรง หากนอนน้อย ดวงตาจะเพลียและแห้งง่าย ทำให้ตามัวและโฟกัสได้ช้าลง

    Q14 : การใช้แว่นกรองแสงสีฟ้าช่วยป้องกันปัญหาสายตาในระยะยาวได้ไหม?

    ช่วยได้บางส่วน โดยเฉพาะอาการตาล้าและนอนหลับยากจากแสงสีฟ้า แต่ยังต้องควบคู่กับการพักสายตาและตรวจสุขภาพตา

    แชร์บทความ